ในปัจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์กราฟิกมากมายให้เลือกใช้สำหรับงานสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีความโดดเด่นและเหมาะกับงานที่แตกต่างกันไป โปรแกรมหลัก ๆ ที่นิยมใช้มีดังนี้:
Adobe Photoshop: เป็นโปรแกรมจัดการภาพแบบ Raster (Pixel-based) ที่ทรงพลังที่สุด เหมาะสำหรับงานตกแต่งภาพถ่าย, สร้างภาพประกอบที่ซับซ้อน, และการออกแบบกราฟิกที่มีรายละเอียดสูง เช่น โปสเตอร์, แบนเนอร์, งานรีทัชภาพ
Adobe Illustrator: เป็นโปรแกรมสร้างกราฟิกแบบ Vector (Object-based) เหมาะสำหรับงานออกแบบโลโก้, ไอคอน, ภาพประกอบ, อินโฟกราฟิก, และงานที่ต้องการความคมชัดสูงเมื่อขยายขนาด เช่น นามบัตร, โบรชัวร์, การออกแบบตัวอักษร
Canva: เป็นแพลตฟอร์มออกแบบกราฟิกออนไลน์ที่ใช้งานง่าย มีแม่แบบ (Template) สำเร็จรูปให้เลือกมากมาย เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นหรือผู้ที่ต้องการสร้างสรรค์งานออกแบบอย่างรวดเร็ว เช่น โพสต์โซเชียลมีเดีย, ใบปลิว, การ์ด
Figma: เป็นโปรแกรมออกแบบ UI/UX (User Interface/User Experience) ที่เน้นการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ เหมาะสำหรับงานออกแบบเว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, และการสร้าง Prototype สำหรับงานสื่อสิ่งพิมพ์อาจใช้ในการออกแบบ Layout ของนิตยสารหรือหนังสือเบื้องต้น
แม้แต่ละโปรแกรมจะมีหน้าตาแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้ว โปรแกรมกราฟิกจะมีส่วนประกอบหลัก ๆ ที่คล้ายคลึงกัน ดังนี้:
แถบเมนู (Menu Bar): อยู่ด้านบนสุดของโปรแกรม เป็นที่รวมคำสั่งต่าง ๆ เช่น File (สำหรับเปิด/บันทึก/ส่งออก), Edit (สำหรับแก้ไข), Image/Object (สำหรับจัดการกับภาพ/วัตถุ), Type (สำหรับจัดการกับตัวอักษร), View (สำหรับปรับมุมมอง), Window (สำหรับแสดง/ซ่อน Panel ต่าง ๆ)
แถบเครื่องมือ (Tool Panel/Toolbox): มักจะอยู่ด้านซ้ายมือของโปรแกรม บรรจุเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการสร้าง, แก้ไข, และจัดการกับงานออกแบบ เช่น เครื่องมือเลือก (Selection Tool), เครื่องมือวาด (Pen Tool, Shape Tool), เครื่องมือข้อความ (Text Tool), เครื่องมือระบายสี (Brush Tool, Gradient Tool)
แถบคุณสมบัติ (Properties Panel/Options Bar): มักจะอยู่ด้านบนหรือด้านขวามือของโปรแกรม จะแสดงคุณสมบัติและตัวเลือกของเครื่องมือที่กำลังใช้งานอยู่ หรือวัตถุที่ถูกเลือกอยู่ ทำให้เราสามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้อย่างละเอียด
แถบเลเยอร์ (Layer Panel): มักจะอยู่ด้านขวามือของโปรแกรม เป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการจัดการกับองค์ประกอบต่าง ๆ ของงานออกแบบ โดยแบ่งแยกเป็นชั้น ๆ (Layer) ทำให้เราสามารถทำงานกับแต่ละส่วนได้อย่างอิสระ ไม่รบกวนส่วนอื่น และสามารถจัดลำดับชั้น, ซ่อน, หรือแสดงผลของแต่ละ Layer ได้
ก่อนที่จะเริ่มสร้างสรรค์งานสิ่งพิมพ์ จำเป็นต้องตั้งค่าเอกสารใหม่ให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพื่อให้ได้งานที่มีคุณภาพและพร้อมสำหรับการพิมพ์ ขั้นตอนพื้นฐานมีดังนี้:
ขนาด (Size): กำหนดขนาดของงานให้ถูกต้องตามมาตรฐาน เช่น A4, A3, Letter หรือกำหนดขนาดเอง (Custom Size) เป็นหน่วยที่เหมาะสม เช่น มิลลิเมตร (mm), เซนติเมตร (cm), นิ้ว (inches)
โหมดสี (Color Mode):
CMYK (Cyan, Magenta, Yellow, Key/Black): เป็นโหมดสีมาตรฐานสำหรับงานสิ่งพิมพ์ เหมาะสำหรับงานที่ต้องการนำไปพิมพ์ เพราะโรงพิมพ์จะใช้หมึก 4 สีนี้ในการพิมพ์
RGB (Red, Green, Blue): เป็นโหมดสีสำหรับงานที่แสดงผลบนหน้าจอ เช่น เว็บไซต์, สื่อดิจิทัล ไม่เหมาะสำหรับการพิมพ์โดยตรงเพราะสีที่ได้อาจไม่ตรงกัน
ความละเอียด (Resolution): กำหนดความละเอียดของภาพเป็นหน่วย Pixels Per Inch (PPI) หรือ Dots Per Inch (DPI)
สำหรับงานสิ่งพิมพ์ ควรตั้งค่าความละเอียดที่ 300 PPI/DPI เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดเมื่อพิมพ์
สำหรับงานที่แสดงผลบนหน้าจอ อาจใช้ความละเอียด 72 PPI/DPI ก็เพียงพอ
Bleed (ระยะตัดตก): คือระยะเผื่อที่ยื่นออกไปจากขอบงานจริงเล็กน้อย (ประมาณ 3-5 มม.) เพื่อป้องกันการเกิดขอบขาวเมื่อตัดงานพิมพ์ ทำให้งานดูเรียบร้อยและได้ขอบที่ชนสนิท
การจัดการไฟล์เป็นสิ่งสำคัญในการทำงานกราฟิก เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขงานได้ในอนาคต หรือนำไปใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ
การเปิดไฟล์ (Open File):
ไปที่เมนู File > Open
เลือกไฟล์ที่ต้องการเปิด (เช่น .psd, .ai, .jpg, .png) แล้วคลิก Open
การบันทึกไฟล์ (Save File):
Save: ไปที่เมนู File > Save ใช้สำหรับบันทึกไฟล์งานต้นฉบับ (Source File) เพื่อให้สามารถกลับมาแก้ไขได้ในภายหลัง นามสกุลไฟล์จะแตกต่างกันไปตามโปรแกรม เช่น .psd (Photoshop), .ai (Illustrator), .fig (Figma)
Save As: ไปที่เมนู File > Save As ใช้สำหรับบันทึกไฟล์ในชื่อใหม่, บันทึกในรูปแบบอื่น, หรือบันทึกในตำแหน่งอื่น
การส่งออกไฟล์ (Export File):
ใช้สำหรับแปลงไฟล์งานไปเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการนำไปใช้งานอื่น ๆ เช่น การส่งไฟล์ไปพิมพ์, การอัปโหลดขึ้นเว็บไซต์
รูปแบบไฟล์ที่นิยมส่งออกสำหรับงานสิ่งพิมพ์:
PDF (Portable Document Format): เป็นรูปแบบไฟล์ที่นิยมใช้ในการส่งงานไปพิมพ์ เพราะรักษารูปแบบและคุณภาพของงานได้ดี สามารถเปิดได้บนหลายแพลตฟอร์ม
JPEG (Joint Photographic Experts Group): เหมาะสำหรับภาพถ่ายหรือภาพที่มีรายละเอียดสีมาก แต่มีการบีบอัดข้อมูล ทำให้คุณภาพลดลงเมื่อบีบอัดมากเกินไป
PNG (Portable Network Graphics): เหมาะสำหรับภาพที่มีพื้นหลังโปร่งใส (Transparent Background) หรือภาพกราฟิกที่มีรายละเอียดน้อย เช่น โลโก้, ไอคอน
TIFF (Tagged Image File Format): เหมาะสำหรับงานพิมพ์ที่ต้องการคุณภาพสูงสุด เพราะไม่มีการบีบอัดข้อมูล ทำให้ไฟล์มีขนาดใหญ่